Search
Close this search box.

Larry Fink CEO Blackrock เปลี่ยนแนวความคิดของเขาต่อ Bitcoin?

สิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสนใจมาก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่าน ก็ คือ Larry Fink เปลี่ยนแนวความคิดของเขาต่อ Bitcoin ได้เร็วแค่ไหน

Larry Fink นั่นคือ CEO ของกลุ่ม Blackrock เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมีมูลค่าถึงล้านล้านดอลลาร์ครับ ในแวดวงการเงิน Larry Fink ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในคนที่มีอํานาจมากที่สุดในโลก ในอดีตเขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่สนับสนุนเรื่องของ Bitcoin เลยครับ แต่ทำไม คนแบบนั้นเปลี่ยนมาชอบบิตคอยน์ได้อย่างไร

เมื่อประมาณต้นปีนี้ Blackrock ก็เป็นหนึ่งในบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาติจาก กลต ของประเทศสหรัฐฯ ให้ทำการขาย Bitcoin ETF โดยผ่านบริษัทลูกของ Blackrock ชื่อ IBIT ETF แน่นอนว่านั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Blackrock หันมาสนใจ Bitcoin แต่มันยังมีเรื่องราวที่ลึกซึ้งกว่านั้นครับ

ผมก็สนใจในเรื่องนี้เหมือนกัน และผมคิดว่าที่ผมค้นหาข้อเท็จจริงได้มาบางส่วนนั้นน่าสนใจมาก และอยากจะมาพูดคุยให้เพื่อนๆได้ฟังกันครับ

Larry Fink โดยพื้นฐานแล้ว เขากล่าวว่า GenZ/Millennials ไม่ไว้วางใจระบบการเงิน พวกเขาไม่ได้เก็บออมเพื่อการเกษียณอายุ และพวกเขาสูญเสียความหวัง ฟังดูๆ คล้ายๆกับเด็กวัยรุ่นในประเทศไทยนะ ฟังต่อไป

Bloomberg ให้ความเห็นในเรื่องไว้ว่า “คนหนุ่มสาว” สูญเสียความไว้วางใจในคนรุ่นเก่า” Larry Fink เคยกล่าว ไว้ว่า “ภาระอยู่ที่เราที่จะเอามันคืน และบางทีการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาวของพวกเขารวมถึงการเกษียณอายุก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ไม่ดีนัก” และด้วยเหตุนี้ Blackrock กําลังมุ่งเน้นไปที่ความคิดริเริ่มใหม่ๆ เพื่อให้คนหนุ่มสาวมีส่วนร่วมในการลงทุน/การออม/ตลาด พูดง่ายๆคือ พยายามเปลี่ยนฐานลูกค้าจากคนสูงวัยไปยัง คนหนุ่มสาวให้มากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ผมเข้าใจทันทีว่าฐานลูกค้าในอนาคตไม่ใช่ยุคคนสูงวัยอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเงิน นี้ยังรวมไปถึงธุรกิจอื่นๆด้วยครับ

ผมเข้าใจว่า กลุ่มบริษัท Blackrock ที่มุ่งเน้นไปยัง Bitcoin เพราะเขาตระหนักว่าวิธีแบบดั้งเดิมกำลังจะสูญหายไป และ วิธีแบบดิจิทัลกำลังมา เขาจึงต้องเน้นเพื่อให้คนหนุ่มสาวกลับมาตื่นเต้นกับการเงินในรูปแบบใหม่ซึ่งเข้าสมัยกับยุคพวกเขาครับ หากคนหนุ่มสาวต้องการซื้อ Bitcoin แทน Gold และ Blackrock อาจเป็นบริษัทที่จะเปิดเผยพวกเขา พวกเขาอาจลงเอยด้วยการใช้ Blackrock สําหรับความต้องการทางการเงินอื่นๆ ที่หลากหลายเมื่ออายุมากขึ้น และนั้นจะตอกย้ำความสัมพันธ์ของ Blackrock กับคนรุ่นที่รู้สึกผิดหวังโดยระบบการเงิน

ด้วยวิธีนี้ บริษัทของเขาจะมีผู้คนหลายล้านคนในอีกสองทศวรรษข้างหน้าที่เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เช่น $IBIT ETF ในทางบวกกับ Blackrock ซึ่งท้ายที่สุดจะนําไปสู่อายุยืนและความมั่นคงของบริษัทในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

แล้วเพื่อนๆละครับ ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างหรืออย่างไร จะเดินต่อไปอย่าง Kodak หรือ Nokia ทั้งๆ ที่รู้ว่าปลายทางคืออะไร….ในอนาคตเป็นโลกของคนรุ่นใหม่ครับ เราต้องเปลี่ยนแปลงตอนนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนครับ

กิตติ ปิณฑวิรุจน์​ / เขียนบทความ

แบ่งปันบทความนี้